รับกำจัดของเสียภาคตะวันออก

บริษัทวีพีกรีนเทค จำกัด รับกำจัดของเสีย ภาคตะวันออก

Q1: อยากทราบหลักการทางวิศวกรรมที่ใช้ในการออกแบบระบบบำบัดน้ำชะขยะด้วยครับ

A1: การบำบัดน้ำชะขยะมูลฝอยด้วยกระบวนการทางชีววิทยา โดยส่วนใหญ่แล้วในประเทศไทยจะใชระบบบ่อปรับเสถียร (Stabilization Pond) ซึ่งเกณฑ์การออกแบบที่ใช้ทั่วไป มีดังนี้

พารามิเตอร์ในการออกแบบและใช้ตรวจสอบระบบบำบัดน้ำชะขยะมูลฝอยแบบบ่อปรับเสถียร

พารามิเตอร์ บ่อบำบัดแบบไร้อากาศ
(Anaerobic Pond)
บ่อผึ่ง
(Facultative Pond)
บ่อใช้อากาศ
(Aerobic Pond)
บ่อบ่ม
(Maturation Pond)
ความลึก
(เมตร)
2 – 4 2 – 3 0.2 – 0.6 1 – 1.5
ระยะเวลาเก็บกักน้ำ
(Hydraulic Retention Time)
(วัน)
220 – 680 30 – 40 40 – 50
อัตราภาระบีโอดี
(กรัม BOD5/ตารางเมตร/วัน)
50 70 – 80 80 – 90 60 – 80
ประสิทธิภาพการลด BOD5
(ร้อยละ)
50 70 – 80 80 – 90 60 – 80
pH 6.5 – 7.5 6. 5 – 8.0 6.5 – 8.0 6.5 – 8.0
สารแขวนลอย
(มิลลิกรัมต่อลิตร)
30 – 150 30 – 150 30 – 200 30 – 300

การออกแบบระบบมักจะเริ่มด้วยการบำบัดโดยใช้บ่อบำบัดแบบไร้อากาศตามด้วยบ่อผึ่งตามด้วยบ่อใช้อากาศ และบ่อบ่มเพื่อตกตะกอนสาหร่ายและจุลินทรีย์ก่อนหมุนเวียนไปใช้ประโยชน์ในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย

ที่มา

  1. กรมควบคุมมลพิษ, การวิจัยและพัฒนาระบบกำจัดน้ำเสียจากมูลฝอยแบบประหยัดพื้นที่และค่าใช้จ่าย, 2543
  2. กรมควบคุมมลพิษ, คู่มือปฏิบัติการในการดูแลและเดินระบบฝังกลบขยะมูลฝอย, 2547
  3. กรมควบคุมมลพิษ, น้ำเสียชุมชนและระบบบำบัดน้ำเสีย, 2545
Q2: ประเทศไทยมีที่ใดบ้างที่ใช้วิธีกำจัดขยะมูลฝอยแบบเตาเผาขยะมูลฝอยแบบถูกต้องตามหลักวิชาการ
A2: ปัจจุบันมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยโดยใช้เตาเผาอยู่ 3 แห่ง
ได้แก่

  1. เทศบาลนครภูเก็ต เตาเผามีความสามารถกำจัดขยะมูลฝอยวันละ 250 ตัน ให้บริการรองรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งในจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันดำเนินการโดยใช้งบประมาณจากกระทรวงมหาดไทยและเทศบาลฯ
  2. เทศบาลตำบลเกาะสมุย เตาเผามีความสามารถในการรองรับกำจัดขยะมูลฝอยวันละ 70 ตันต่อเตา มีจำนวน 2 เตาเผา ปัจจุบันยังดำเนินการด้วยงบประมาณจากกระทรวงมหาดไทยและเทศบาล
  3. เทศบาลเมืองลำพูน ความสามารถในการกำจัดขยะมูลฝอยของเตาเผาวันละ 20 ตัน ปัจจุบันดำเนินการกำจัดด้วยงบประมาณของเทศบาลฯ
Q3: ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากขยะเทศบาลนั้นนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
A3: สัดส่วนองค์ประกอบขยะของขยะมูลฝอยประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นพวก เศษอินทรีย์ เศษอาหาร ซึ่งหากสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยการเป็นปุ๋ยอินทรีย์ (สารบำรุงดิน) จะช่วยในการลดปริมาณขยะมูลฝอยที่ต้องกำจัดโดยวิธีอื่นปุ๋ยหมัก (สารบำรุงดิน) ที่ได้จากการหมักขยะมูลฝอยอินทรีย์ สามารถนำมาประโยชน์ได้หลายแนวทาง ซึ่งแยกได้ดังนี้

  1. เป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ในดิน
  2. ช่วยลดปริมาณเชื้อโรคพืชบางชนิดในดิน
  3. ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดิน
  4. ช่วยในการปรับปรุงสภาพดิน

โดยช่วยเพิ่มอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหาร ทำให้ดินมีคุณสมบัติเหมาะต่อการเจริญเติบโตของพืช ส่งผลทำให้ผลผลิตสูงขึ้น ปุ๋ยหมักช่วยทำให้ดินมีคุณสมบัติเหมาะแก่การเพาะปลูก ดังนี้

  • ดินมีการจับตัวกันอย่างเหมาะสม ทำให้การระบายน้ำและอากาศถ่ายเทได้ดี
  • ดินมีความร่วนซุยดี
  • ดินมีธาตุอาหารครบถ้วน ทั้งธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรอง
  • ดินมีอินทรีย์สารต่างๆ อยู่อย่างครบถ้วน

การใช้ประโยชน์ของปุ๋ยหมัก

1.การใช้ปุ๋ยหมักกับการปลูกพืช ผัก และไม้ดอก ในแปลงปลูก เตรียมแปลงตามความต้องการ และโรยปุ๋ยหมักให้ทั่วแปลง หนาประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใช้จอบสับคลุกเคล้าให้ลึกประมาณ 20 เซนติเมตร และรดน้ำให้ทั่วแปลง หมักดินไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงนำพืชมาปลูกได้

2.การใช้ปุ๋ยหมักกับการปลูกพืชในกระถางผสมปุ๋ยหมักกับดินร่วนในอัตราส่วน 1:5 โดยปริมาตร รดน้ำให้ชุ่มและทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วจึงนำใส่ภาชนะหรือกระถางเพื่อปลูกพืชต่อไป

3.การใช้ปุ๋ยหมักกับพืชไร่และไม้ผล
สามารถทำได้ 2 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 ผสมปุ๋ยหมักลงในหลุมปลูก โดยใช้อัตราส่วนปุ๋ยหมักกับดิน เท่ากับ1:5 คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วจึงนำกิ่งพันธุ์ไม้ผลลงปลูก เมื่อปลูกเสร็จแล้วควรทำการคลุกดินบริเวณโคนต้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง

ระยะที่ 2 การใช้ปุ๋ยหมักระหว่างการเจริญเติบโตของต้นไม้ กล่าวคือ หลังจากปลูกไม้ผล หรือพืชไร่แล้ว ควรใส่ปุ๋ยหมักให้ปีละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุย

Q4: อยากทราบว่าปรอทที่บรรจุในเทอร์โมมิเตอร์ หากมีการแตก เราจะมีวิธีการกำจัดและทำลายปรอทได้อย่างไร โดยผู้ที่กำจัดไม่ได้รับอันตรายจากสารปรอท และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม
A2: ปรอท (Mercury) จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 หมายความว่า การผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ครอบครองต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมปรอทมีผลกระทบต่อสุขภาพเมื่อร่างกายได้รับสัมผัสปรอท และก่อให้เกิดการสะสมในร่างกายได้ ปรอทมีความเป็นพิษมากต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำ และอาจมีผลเสียระยะยาวต่อระบบนิเวศในน้ำ

การได้รับปรอท อันตรายต่อสุขภาพอนามัย
สัมผัสทางหายใจ การหายใจเข้าไป ทำให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจรุนแรง มีอาการเจ็บคอ ไอ เจ็บปวด เจ็บหน้าอก หายใจติดขัด ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้า หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ
สัมผัสทางผิวหนัง การสัมผัสถูกผิวหนัง สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้ เป็นผื่นแดงและทำให้ปวดแสบปวดร้อน
กินหรือกลืนเข้าไป การกินหรือกลืนเข้าไป ทำให้แสบไหม้ปาก หลอดอาหาร ทำให้เป็นแผล มีอาการปวดท้อง อาเจียน และท้องร่วง ทำให้หัวใจเต้นอ่อนลง
สัมผัสถูกตา การสัมผัสถูกตา ทำให้แสบไหม้ เป็นตาแดง และเจ็บปวด ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน
การก่อมะเร็ง สารนี้มีผลทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ความจำเสื่อม บุคลิกภาพ และพฤติกรรมเปลี่ยน กระเพาะอาหารและลำไส้ผิดปกติ ผื่นแดง ทำลายสมองและไต

การกำจัดกรณีรั่วไหล (Leak and Spill)

  1. ห้ามสูดดมไอระเหยของปรอท ไม่ควรสัมผัสกับสาร หากทำงานในห้องปิด ต้องแน่ใจว่ามีแหล่งอากาศบริสุทธิ์เพียงพอ
  2. ทำความสะอาดโดยสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่เหมาะสม
  3. ให้ใช้การ์ดพลาสติก หรือกระดาษแข็ง ตักปรอทที่หกรั่วไหลและะเก็บไว้ในภาชนะบรรจุที่แห้งและปิดมิดชิด เช่น ขวดแก้ว หรือใส่ถุงพลาสติกประมาณ 2 – 3 ชั้น ก่อนนำไปกำจัด
  4. สถานที่ทิ้ง สามารถนำไปทิ้งไว้ในภาชนะที่สถานพยาบาลหรือโรงพยาบาล เพื่อรวบรวมไว้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ชำรุดเพื่อรอกำจัดโดยสถานพยาบาลต่อไป หากไม่สะดวกหรือจำเป็นต้องทิ้งลงถังขยะภายในบ้านหรือที่ทิ้งขยะ ควรบรรจุในภาชนะหรือใส่ถุง และเขียนกำกับว่าเป็น “ของเสียอันตราย” โดยใส่ถุงแยกออกจากขยะทั่วไป เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดการขยะนำไปกำจัดได้อย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการต่อไป
  5. ป้องกันไม่ให้สารเคมีที่หกรั่วไหล ไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ แม่น้ำ และแหล่งน้ำอื่น ๆ
  6. ให้ดูดซับส่วนที่หกรั่วไหลด้วยซัลเฟอร์ หรือแคลเซียม โพลีซัลไฟด์ เพื่อป้องกันอันตรายของปรอท
  7. การพิจารณากำจัด ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ทางราชการกำหนด

อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล

ควรสวมใส่ชุดป้องกันที่เหมาะสมกับบริเวณทำงาน โดยพิจารณาจากความเข้มข้นและปริมาณสารอันตรายที่ใช้ ควรมีการตรวจสอบความทนทานต่อสารเคมีของชุดป้องกันโดยตัวแทนจำหน่าย

หน้ากากป้องกันการหายใจ ถุงมือ
ชุดป้องกันสารเคมี แว่นตานิรภัย

สุขอนามัยทางอุตสาหกรรม ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนสารเคมีทันที ทาครีมป้องกันผิวหนัง ล้างมือและหน้าหลังจากการใช้สาร ทำงานภายใต้ตู้ควัน ห้ามสูดดมสาร ห้ามกินอาหาร/ดื่มในบริเวณทำงาน

การปฐมพยาบาล (First Aid)

การได้รับปรอท การปฐมพยาบาล
หายใจเข้าไป ถ้าหายใจเข้าไป ให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกสู่บริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ช่วยผายปอด ถ้าหายใจลำบาก ให้ออกซิเจนช่วย นำส่งไปพบแพทย์ทันที
กินหรือกลืนเข้าไป ถ้ากินหรือกลืนเข้าไป กระตุ้นให้เกิดการอาเจียนทันที ห้ามไม่ให้สิ่งใดเข้าปากผู้ป่วยที่หมดสติ ให้ส่งไปพบแพทย์ทันที
สัมผัสถูกผิวหนัง ถ้าสัมผัสถูกผิวหนัง ให้ฉีดล้างผิวหนังทันทีด้วยน้ำปริมาณมากอย่างน้อย 15 นาที พร้อมถอดเสื้อผ้าและรองเท้าที่ปนเปื้อนสารเคมีออก ส่งไปพบแพทย์ทันที ซักทำความสะอาดเสื้อผ้าก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
สัมผัสถูกตา ถ้าสัมผัสถูกตา ให้ฉีดล้างตาทันทีด้วยน้ำปริมาณมากอย่างน้อย 15 นาที กระพริบตาถี่ ๆ นำส่งไปพบแพทย์ทันที

การเกิดอัคคีภัยและการระเบิด (Fire and Explosion)

ปรอทไม่ลุกไหม้ติดไฟ และเกิดการระเบิดที่เป็นอันตรายกรณีเกิดเพลิงไหม้ ให้เลือกใช้สารดับเพลิง/วิธีการดับเพลิงที่เหมาะสมสำหรับวัสดุที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ป้องกันมิให้น้ำที่ใช้ดับเพลิงไหลลงแหล่งน้ำบนดินหรือใต้ดิน ผู้ดับเพลิงต้องสวมใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจชนิดมีถังในตัว (SCBA) เปลวไฟในบริเวณใกล้เคียงอาจทำให้เกิดไอระเหยของปรอทและปรอทออกไซด์

Q5: ทราบได้อย่างไรว่าของเสียอันตรายที่ถูกควบคุมจากการเคลื่อนย้ายข้ามแดน (นำเข้า-ส่งออก) ของประเทศไทย
A5: สามารถตรวจสอบได้จาก

  1. บัญชีรายการในภาคผนวก 1 และ 8 ตามอนุสัญญาบาเซล
  2. บัญชีรายการของเสียอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535
Q6: การส่งออกของเสียอันตรายออกไปต่างประเทศ จะตรวจสอบได้อย่างไรว่าประเทศผู้นำเข้า – ส่งออกเป็นประเทศตามอนุสัญญาบาเซลหรือไม่
A6: สามารถตรวจสอบรายชื่อประเทศที่ให้สัตตยาบันตามอนุสัญญาบาเซลได้จาก www.basel.int 
Q7: หากต้องการจะส่งออกเศษพลาสติกหลายชนิดปนกันไปยังประเทศจีนต้องขออนุญาตจากกรมควบคุมมลพิษด้วยพรือไม่
A7: การส่งออกเศษพลาสติกไปยังประเทศจีนไม่ต้องขออนุญาตจากกรมควบคุมมลพิษ เนื่องจาก เศษพลาสติกไม่ได้เป็นสินค้าหรือวัตถุอันตรายที่ขออนุญาตการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายใด ๆ แต่เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 112) พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2539 โดยจะอนุญาต ให้นำเข้าได้ตามความเห็นชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งพลาสติกใช้แล้วที่จะนำเข้าต้องเป็นไปเงื่อนไขที่กำหนดในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการอนุญาตนำเศษ เศษตัด และของที่ใช้ไม่ได้ ซึ่งเป็นพลาสติกไม่ว่าใช้แล้วหรือไม่ก็ตาม เข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2549 ฉบับลงวันที่ 18 ธันวาคม 2549
Q8: สถานที่รับกำจัด/บำบัด เก็บรวบรวมขนส่งของเสียอันตรายที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายมีที่ใดบ้าง
A8: สามารถตรวจสอบสถานที่หรือตัวแทนที่ให้บริการรับกำจัด/บำบัด เก็บรวบรวมขนส่ง เสียของเสียได้จากเว็บไซด์กรมโรงงานอุตสาหกรรม http://www2.diw.go.th/iwmb/index.asp หรือสำนักงานโรงงานอุตสาหกรรมการรายสาขา 6 โทรศัพท์ 02202 4165, 02202 4242
Q9: สถานที่รับกำจัด/บำบัดของเสียอันตรายมีของทางราชการหรือไม่ อยู่ที่ไหนบ้าง ขอทราบทราบสถานที่ติดต่อ
A9:
สถานที่รับจัดการของเสียอันตราย ในปัจจุบันเป็นของภาคเอกชน แต่ต้องได้รับอนุญาติให้ประกอบกิจการจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนดำเนินการ ตัวอย่างเช่น (ข้อมูลเมื่อพฤศจิกายน 2550)

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า